Clomiphene หรือ Clomid

Clomiphene หรือที่รู้จักในชื่อทางการค้าว่า Clomid เป็นยาที่ใช้ในการรักษาภาวะมีบุตรยากในผู้หญิงโดยการกระตุ้นการตกไข่ Clomiphene เป็น Selective Estrogen Receptor Modulator (SERM) คล้ายกับ Tamoxifen แต่มีการใช้งานที่เน้นในเรื่องการส่งเสริมการตกไข่ ได้รับการอนุมัติจากองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA) ในปี 1967

ลักษณะทางเคมีของ Clomiphene

  • ชื่อทางเคมี: Clomiphene Citrate
  • สูตรโมเลกุล: C26H28ClNO
  • น้ำหนักโมเลกุล: 405.96 g/mol
  • โครงสร้างเคมี: Clomiphene มีโครงสร้างที่ซับซ้อน ประกอบด้วยวงแหวนเบนซีนที่มีการเชื่อมต่อกับธาตุคลอรีน ทำให้มันสามารถจับกับตัวรับเอสโตรเจนในสมองและเนื้อเยื่ออื่นๆ ได้

ข้อมูลสำคัญของ Clomiphene (Clomid)

  1. Half-life:
    • Clomiphene มีครึ่งชีวิตประมาณ 5-7 วัน แต่มีการสะสมในเนื้อเยื่อไขมันทำให้มันมีฤทธิ์ต่อเนื่องนานถึงหลายสัปดาห์
  2. Detection Time:
    • Clomiphene สามารถตรวจพบได้ในระบบนานหลายสัปดาห์ถึงหลายเดือนหลังจากหยุดใช้

กลไกการทำงานของ Clomiphene

Clomiphene ทำงานโดยการกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมน Gonadotropins (FSH และ LH) จากต่อมใต้สมอง (Pituitary gland) ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการตกไข่ในผู้หญิงและการผลิตฮอร์โมนเพศชายในผู้ชาย กลไกการทำงานที่สำคัญคือ:

  1. การยับยั้งการฟีดแบคเชิงลบของเอสโตรเจน:
    • Clomiphene ทำหน้าที่เป็นตัวต้านเอสโตรเจนในสมอง ซึ่งจะช่วยยับยั้งการฟีดแบคเชิงลบที่เอสโตรเจนมีต่อการหลั่ง Gonadotropins ส่งผลให้ระดับ FSH และ LH เพิ่มขึ้น ทำให้เกิดการตกไข่ในผู้หญิงและกระตุ้นการผลิตฮอร์โมนเพศชายในผู้ชาย
  2. การเพิ่มการตกไข่:
    • ในผู้หญิงที่มีภาวะมีบุตรยาก Clomiphene ช่วยเพิ่มความน่าจะเป็นในการตกไข่ ทำให้มีโอกาสตั้งครรภ์สูงขึ้น

การใช้งานในคนทั่วไปและนักเพาะกาย

การใช้งานในคนทั่วไป

  • การรักษาภาวะมีบุตรยากในผู้หญิง: Clomiphene ใช้ในการรักษาภาวะมีบุตรยากในผู้หญิงที่มีปัญหาในการตกไข่ เช่น Polycystic Ovary Syndrome (PCOS)
  • การกระตุ้นการผลิตฮอร์โมนเพศชายในผู้ชาย: ใช้ในกรณีที่ผู้ชายมีภาวะฮอร์โมนเพศชายต่ำ (Hypogonadism) เพื่อกระตุ้นการผลิตฮอร์โมนเพศชาย

การใช้งานในนักเพาะกาย

  • Post Cycle Therapy (PCT): หลังจากการใช้สเตียรอยด์ Anabolic นักเพาะกายมักใช้ Clomiphene เป็นส่วนหนึ่งของ Post Cycle Therapy เพื่อช่วยกระตุ้นการผลิตฮอร์โมนเพศชายตามธรรมชาติและป้องกันการสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ
  • การป้องกัน Gynecomastia: Clomiphene อาจถูกใช้เพื่อป้องกันการเกิดภาวะ Gynecomastia ที่เกิดจากการเพิ่มขึ้นของฮอร์โมนเอสโตรเจนจากการใช้สเตียรอยด์

ข้อควรระวัง

  1. ผลข้างเคียงต่อระบบการมองเห็น:
    • Clomiphene อาจทำให้เกิดอาการผิดปกติทางสายตา เช่น การเห็นภาพเบลอหรือการเห็นภาพซ้อน ซึ่งอาจเกิดขึ้นในระหว่างการใช้ยา
  2. การใช้ในระยะยาว:
    • การใช้ Clomiphene ในระยะยาวอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนเช่นภาวะรังไข่บวม หรือการตั้งครรภ์ที่มีมากกว่า 1 ทารก
  3. ผลกระทบต่อระบบประสาท:
    • อาจทำให้เกิดอาการปวดหัว อารมณ์แปรปรวน หรือภาวะซึมเศร้าในบางคน
  4. การตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ:
    • ควรตรวจสุขภาพและตรวจระดับฮอร์โมนในร่างกายอย่างสม่ำเสมอเพื่อตรวจสอบการตอบสนองต่อยาและป้องกันภาวะแทรกซ้อน

สรุป

  • ความเป็นมา: Clomiphene (Clomid) ได้รับการอนุมัติในปี 1967 สำหรับการรักษาภาวะมีบุตรยากในผู้หญิง
  • ลักษณะทางเคมี: มีสูตรโมเลกุล C26H28ClNO และมีโครงสร้างที่เกี่ยวข้องกับวงแหวนเบนซีนและธาตุคลอรีน
  • Half-life: ประมาณ 5-7 วัน
  • Detection Time: สามารถตรวจพบได้ในระบบนานหลายสัปดาห์ถึงหลายเดือน
  • กลไกการทำงาน: กระตุ้นการหลั่ง Gonadotropins เพื่อเพิ่มการตกไข่ในผู้หญิงและการผลิตฮอร์โมนเพศชายในผู้ชาย
  • การใช้งานในคนทั่วไป: การรักษาภาวะมีบุตรยากในผู้หญิง, การกระตุ้นการผลิตฮอร์โมนเพศชายในผู้ชาย
  • การใช้งานในนักเพาะกาย: ใช้ใน Post Cycle Therapy (PCT) และป้องกัน Gynecomastia
  • ข้อควรระวัง: ผลข้างเคียงต่อระบบการมองเห็น, การใช้ในระยะยาว, ผลกระทบต่อระบบประสาท