YK-11

YK-11 เป็นสารประกอบที่ได้รับการพัฒนาในฐานะ Selective Androgen Receptor Modulator (SARM) แต่มีคุณสมบัติพิเศษที่ทำให้มันมีศักยภาพเป็น Myostatin Inhibitor ด้วย YK-11 ถูกค้นพบโดยนักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่นชื่อว่า Yuichiro Kanno ในปี 2011 ขณะที่ทำการวิจัยเกี่ยวกับกลไกการทำงานของแอนโดรเจน YK-11 เป็นที่สนใจในวงการนักเพาะกายและฟิตเนสเนื่องจากมีความสามารถในการเพิ่มมวลกล้ามเนื้ออย่างรวดเร็ว แต่ยังมีข้อมูลที่จำกัดเกี่ยวกับผลข้างเคียงและความปลอดภัยในระยะยาว

ลักษณะทางเคมีของ YK-11

  • ชื่อทางเคมี: 17α,20α-Dimethyl-17β-hydroxy-5α-androstano[3,2-c]pyrazole
  • สูตรโมเลกุล: C25H34O6
  • น้ำหนักโมเลกุล: 430.532 g/mol
  • โครงสร้างเคมี: YK-11 เป็นสารประกอบที่มีโครงสร้างคล้ายกับ DHT (Dihydrotestosterone) ซึ่งเป็นแอนโดรเจนที่มีความแข็งแรงในร่างกาย

ข้อมูลสำคัญของ YK-11

  1. Half-life:
    • ข้อมูลเกี่ยวกับครึ่งชีวิตของ YK-11 ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัดเนื่องจากการวิจัยเกี่ยวกับสารนี้ยังอยู่ในระยะแรก แต่คาดว่าอาจมีครึ่งชีวิตประมาณ 6-10 ชั่วโมง ซึ่งอาจจำเป็นต้องแบ่งรับประทานเป็นสองครั้งต่อวัน
  2. Detection Time:
    • ข้อมูลเกี่ยวกับเวลาการตรวจพบของ YK-11 ยังไม่มีการยืนยันชัดเจนเนื่องจากยังไม่มีการศึกษาที่ครอบคลุม แต่คาดว่าอาจสามารถตรวจพบได้ในระบบนานถึง 5-7 วันหลังจากการใช้ครั้งสุดท้าย

กลไกการทำงานของ YK-11

  1. การทำงานเป็น SARM:
    • YK-11 ทำงานโดยการจับกับตัวรับ Androgen Receptor (AR) ในเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อ ซึ่งจะกระตุ้นการสร้างโปรตีนและการเพิ่มขึ้นของมวลกล้ามเนื้อ YK-11 คล้ายกับ DHT ในการกระตุ้นการทำงานของ AR แต่มีความจำเพาะเจาะจงมากกว่าในเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อ
  2. การทำงานเป็น Myostatin Inhibitor:
    • YK-11 มีคุณสมบัติในการยับยั้งการทำงานของ Myostatin ซึ่งเป็นโปรตีนที่ทำหน้าที่จำกัดการเจริญเติบโตของกล้ามเนื้อ การยับยั้ง Myostatin ทำให้กล้ามเนื้อสามารถเจริญเติบโตได้มากขึ้นและเร็วขึ้นกว่าปกติ ซึ่งทำให้ YK-11 เป็นที่นิยมในการเพิ่มมวลกล้ามเนื้ออย่างรวดเร็ว

การใช้งานในคนทั่วไปและนักเพาะกาย

การใช้งานในคนทั่วไป

  • การเพิ่มมวลกล้ามเนื้อและความแข็งแรง: YK-11 อาจถูกพัฒนาเพื่อใช้ในทางการแพทย์ในอนาคตเพื่อรักษาภาวะกล้ามเนื้อลีบหรือการสูญเสียมวลกล้ามเนื้อที่เกิดจากโรค แต่ในปัจจุบันยังไม่มีการอนุมัติหรือการใช้งานอย่างเป็นทางการ

การใช้งานในนักเพาะกาย

  • การเพิ่มมวลกล้ามเนื้ออย่างรวดเร็ว: นักเพาะกายใช้ YK-11 เพื่อเพิ่มมวลกล้ามเนื้อและความแข็งแรงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในช่วงการฝึกซ้อมหนัก
  • การลดไขมัน: YK-11 อาจช่วยในการลดไขมันในร่างกายขณะเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ ทำให้มันเป็นที่นิยมในช่วงการเตรียมตัวสำหรับการแข่งขัน

ข้อควรระวัง

  1. ข้อมูลความปลอดภัยที่จำกัด:
    • เนื่องจาก YK-11 ยังอยู่ในระยะการวิจัย ข้อมูลเกี่ยวกับความปลอดภัยในระยะยาวยังมีจำกัด และยังไม่มีการศึกษาที่เพียงพอในมนุษย์เพื่อยืนยันถึงผลข้างเคียงและความเสี่ยงต่อสุขภาพ
  2. การใช้ในทางที่ผิด:
    • การใช้ YK-11 ในวงการฟิตเนสและนักเพาะกายถือเป็นการใช้ในทางที่ผิดและยังไม่ได้รับการอนุมัติจาก FDA ซึ่งอาจส่งผลต่อสุขภาพและขัดต่อกฎหมายในบางประเทศ
  3. ผลกระทบต่อระบบฮอร์โมน:
    • YK-11 อาจมีผลกระทบต่อระบบฮอร์โมนเพศชาย โดยอาจทำให้ระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนลดลง ซึ่งอาจต้องการการฟื้นฟูระบบฮอร์โมนหลังจากหยุดใช้ยา (Post Cycle Therapy – PCT)
  4. การตรวจสารต้องห้ามในการแข่งขันกีฬา:
    • YK-11 ถูกจัดเป็นสารต้องห้ามในกีฬาอาชีพ และการตรวจพบสารนี้ในนักกีฬาจะส่งผลให้ถูกตัดสิทธิ์จากการแข่งขัน
  5. ผลข้างเคียงอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้น:
    • เนื่องจาก YK-11 มีคุณสมบัติคล้าย DHT อาจมีความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดผลข้างเคียงที่เกี่ยวข้องกับ DHT เช่น ผมร่วง, สิว, และการเพิ่มขึ้นของความมันบนผิว

สรุป

  • ความเป็นมา: YK-11 ถูกค้นพบในปี 2011 โดยนักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่น Yuichiro Kanno และยังอยู่ในระยะการวิจัยเพื่อประโยชน์ในการเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ
  • ลักษณะทางเคมี: มีสูตรโมเลกุล C25H34O6 และเป็นสารที่มีโครงสร้างคล้าย DHT ซึ่งเป็นแอนโดรเจนที่มีความแข็งแรงในร่างกาย
  • Half-life: คาดว่าอาจมีครึ่งชีวิตประมาณ 6-10 ชั่วโมง
  • Detection Time: คาดว่าจะสามารถตรวจพบได้ในระบบนานถึง 5-7 วัน
  • กลไกการทำงาน: ทำงานเป็น SARM และ Myostatin Inhibitor เพื่อเพิ่มมวลกล้ามเนื้อและความแข็งแรง
  • การใช้งานในคนทั่วไป: การเพิ่มมวลกล้ามเนื้อและความแข็งแรง (ยังอยู่ในระยะการวิจัย)
  • การใช้งานในนักเพาะกาย: การเพิ่มมวลกล้ามเนื้ออย่างรวดเร็ว, การลดไขมัน
  • ข้อควรระวัง: ข้อมูลความปลอดภัยที่จำกัด, การใช้ในทางที่ผิด, ผลกระทบต่อระบบฮอร์โมน, การตรวจสารต้องห้ามในการแข่งขันกีฬา, ผลข้างเคียงที่เกี่ยวข้องกับ DHT

AC-262

AC-262 หรือที่รู้จักกันในชื่อ AC-262,356 เป็น Selective Androgen Receptor Modulator (SARM) ที่ถูกพัฒนาโดยบริษัท Acadia Pharmaceuticals AC-262 ถูกวิจัยขึ้นเพื่อเป็นทางเลือกที่มีผลข้างเคียงน้อยกว่าในการรักษาภาวะขาดฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนและโรคที่เกี่ยวข้องกับการสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ เช่น sarcopenia (การสูญเสียมวลกล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้องกับอายุ) แม้ว่า AC-262 จะยังไม่ได้รับการอนุมัติจากองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA) สำหรับการใช้ในทางการแพทย์ แต่มันก็ได้รับความสนใจในหมู่นักเพาะกายและผู้ที่สนใจในการเพิ่มประสิทธิภาพร่างกายเนื่องจากมีคุณสมบัติในการเพิ่มมวลกล้ามเนื้อและความแข็งแรงโดยไม่มีผลข้างเคียงรุนแรงเช่นเดียวกับสเตียรอยด์แอนโดรเจน

ลักษณะทางเคมีของ AC-262

  • ชื่อทางเคมี: 4-(cyclopropylmethyl)-N-(1-methyl-2-oxo-2H-pyridin-3-yl)-N-(2,2,2-trifluoroethyl)benzamide
  • สูตรโมเลกุล: C18H18F3N3O3
  • น้ำหนักโมเลกุล: 381.35 g/mol
  • โครงสร้างเคมี: AC-262 มีโครงสร้างที่ประกอบด้วยวงแหวนเบนซีนและไพริดีนที่เชื่อมต่อกันด้วยกลุ่ม trifluoroethyl และ cyclopropylmethyl ซึ่งช่วยให้สามารถจับกับตัวรับแอนโดรเจนได้อย่างจำเพาะเจาะจง

ข้อมูลสำคัญของ AC-262

  1. Half-life:
    • ข้อมูลเกี่ยวกับครึ่งชีวิตของ AC-262 ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัดเนื่องจากเป็นสารที่ยังอยู่ในระยะการวิจัย แต่คาดว่าอาจมีครึ่งชีวิตอยู่ในช่วง 12-24 ชั่วโมง
  2. Detection Time:
    • ข้อมูลเกี่ยวกับเวลาการตรวจพบของ AC-262 ยังไม่ชัดเจนเนื่องจากเป็นสารที่อยู่ในระยะการวิจัย แต่คาดว่าอาจสามารถตรวจพบได้ในระบบนานถึง 7-10 วันหลังจากการใช้ครั้งสุดท้าย

กลไกการทำงานของ AC-262

AC-262 ทำงานโดยการจับกับตัวรับ Androgen Receptor (AR) ในเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อและกระดูก ซึ่งจะกระตุ้นการสร้างโปรตีนและการเพิ่มขึ้นของมวลกล้ามเนื้อ ขณะที่ลดผลกระทบต่อเนื้อเยื่ออื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์จากการใช้สเตียรอยด์แอนโดรเจน กลไกหลักของ AC-262 ได้แก่:

  1. การเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ:
    • AC-262 ช่วยกระตุ้นการสังเคราะห์โปรตีนในกล้ามเนื้อ ทำให้เกิดการเพิ่มขึ้นของมวลกล้ามเนื้อและความแข็งแรง โดยเฉพาะในผู้ที่ฝึกฝนการออกกำลังกายอย่างหนัก
  2. การเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูก:
    • AC-262 ยังสามารถช่วยเพิ่มความหนาแน่นของกระดูกและป้องกันการสูญเสียกระดูก ซึ่งมีประโยชน์ในผู้ที่มีความเสี่ยงต่อภาวะกระดูกพรุน
  3. ผลกระทบต่ำต่อเนื้อเยื่ออื่นๆ:
    • AC-262 ออกแบบมาให้มีผลกระทบต่ำต่อเนื้อเยื่ออื่นๆ เช่น เนื้อเยื่อที่เกี่ยวข้องกับการผลิตฮอร์โมนเพศ ทำให้มันมีโอกาสที่จะก่อให้เกิดผลข้างเคียงน้อยกว่าสเตียรอยด์แอนโดรเจน

การใช้งานในคนทั่วไปและนักเพาะกาย

การใช้งานในคนทั่วไป

  • การรักษาภาวะขาดฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน: AC-262 ถูกพัฒนาเพื่อเป็นทางเลือกในการรักษาภาวะขาดฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน โดยการกระตุ้นการทำงานของตัวรับแอนโดรเจนในกล้ามเนื้อและกระดูก
  • การรักษาภาวะกล้ามเนื้อลีบ: AC-262 อาจถูกใช้ในการรักษาภาวะกล้ามเนื้อลีบและโรคที่เกี่ยวข้องกับการสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ เช่น sarcopenia

การใช้งานในนักเพาะกาย

  • การเพิ่มมวลกล้ามเนื้อและความแข็งแรง: นักเพาะกายใช้ AC-262 เพื่อเพิ่มมวลกล้ามเนื้อและความแข็งแรง โดยคาดหวังว่าจะได้รับผลลัพธ์ที่คล้ายกับการใช้สเตียรอยด์แอนโดรเจนแต่มีผลข้างเคียงน้อยกว่า
  • การรักษามวลกล้ามเนื้อในช่วงการลดน้ำหนัก: AC-262 มักใช้ในช่วงที่ต้องการลดน้ำหนักหรือไขมันในร่างกาย โดยยังคงรักษามวลกล้ามเนื้อและความแข็งแรงไว้

ข้อควรระวัง

  1. ข้อมูลความปลอดภัยที่จำกัด:
    • เนื่องจาก AC-262 ยังอยู่ในระยะการวิจัย ข้อมูลเกี่ยวกับความปลอดภัยในระยะยาวยังมีจำกัด และยังไม่มีการศึกษาที่เพียงพอในมนุษย์เพื่อยืนยันถึงผลข้างเคียงและความเสี่ยงต่อสุขภาพ
  2. การใช้ในทางที่ผิด:
    • การใช้ AC-262 ในวงการฟิตเนสและนักเพาะกายถือเป็นการใช้ในทางที่ผิดและยังไม่ได้รับการอนุมัติจาก FDA ซึ่งอาจส่งผลต่อสุขภาพและขัดต่อกฎหมายในบางประเทศ
  3. ผลกระทบต่อระบบฮอร์โมน:
    • แม้ว่า AC-262 จะมีผลกระทบต่อระบบฮอร์โมนน้อยกว่าสเตียรอยด์ แต่การใช้ในระยะยาวหรือในปริมาณสูงอาจทำให้ระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนลดลง ซึ่งอาจจำเป็นต้องใช้ Post Cycle Therapy (PCT) เพื่อฟื้นฟูระบบฮอร์โมนหลังจากหยุดใช้ยา
  4. การตรวจสารต้องห้ามในการแข่งขันกีฬา:
    • AC-262 ถูกจัดเป็นสารต้องห้ามในกีฬาอาชีพ และการตรวจพบสารนี้ในนักกีฬาจะส่งผลให้ถูกตัดสิทธิ์จากการแข่งขัน

สรุป

  • ความเป็นมา: AC-262,356 พัฒนาโดย Acadia Pharmaceuticals เพื่อใช้เป็นทางเลือกในการรักษาภาวะขาดฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนและโรคที่เกี่ยวข้องกับการสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ แต่ยังไม่ได้รับการอนุมัติจาก FDA
  • ลักษณะทางเคมี: มีสูตรโมเลกุล C18H18F3N3O3 และเป็น Selective Androgen Receptor Modulator (SARM)
  • Half-life: คาดว่าอาจมีครึ่งชีวิตอยู่ในช่วง 12-24 ชั่วโมง
  • Detection Time: คาดว่าจะสามารถตรวจพบได้ในระบบนานถึง 7-10 วัน
  • กลไกการทำงาน: จับกับตัวรับแอนโดรเจนในเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อและกระดูกเพื่อเพิ่มมวลกล้ามเนื้อและความแข็งแรง
  • การใช้งานในคนทั่วไป: การรักษาภาวะขาดฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน, การรักษาภาวะกล้ามเนื้อลีบ
  • การใช้งานในนักเพาะกาย: การเพิ่มมวลกล้ามเนื้อและความแข็งแรง, การรักษามวลกล้ามเนื้อในช่วงการลดน้ำหนัก
  • ข้อควรระวัง: ข้อมูลความปลอดภัยที่จำกัด, การใช้ในทางที่ผิด, ผลกระทบต่อระบบฮอร์โมน, การตรวจสารต้องห้ามในการแข่งขันกีฬา

Stenabolic หรือ SR9009

Stenabolic หรือที่รู้จักในชื่อ SR9009 เป็นสารประกอบที่ถูกพัฒนาโดย Dr. Thomas Burris ที่ The Scripps Research Institute ในช่วงต้นทศวรรษ 2000 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ในการวิจัยเกี่ยวกับการควบคุมการเผาผลาญไขมันและเพิ่มความทนทาน SR9009 ทำหน้าที่เป็น Rev-Erb agonist ซึ่งเป็นกลุ่มโปรตีนที่มีบทบาทสำคัญในการควบคุมการแสดงออกของยีนที่เกี่ยวข้องกับการเผาผลาญไขมันและพลังงานในร่างกาย แม้ว่า SR9009 จะยังไม่ได้รับการอนุมัติจากองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA) สำหรับการใช้ทางการแพทย์ แต่ก็ได้รับความนิยมในวงการฟิตเนสและนักเพาะกายเนื่องจากมีคุณสมบัติที่ช่วยเพิ่มการเผาผลาญไขมันและความทนทาน

ลักษณะทางเคมีของ Stenabolic (SR9009)

  • ชื่อทางเคมี: Methyl (E)-3-((4-chlorobenzylidene)hydrazinylidene)-3H-inden-1-ylidene)acetate
  • สูตรโมเลกุล: C20H24ClN3O4S
  • น้ำหนักโมเลกุล: 437.94 g/mol
  • โครงสร้างเคมี: SR9009 มีโครงสร้างโมเลกุลที่ประกอบด้วยวงแหวนอินเดนและเบนซิลซึ่งเชื่อมต่อกันด้วยกลุ่ม hydrazinylidene และ carboxylate

ข้อมูลสำคัญของ Stenabolic (SR9009)

  1. Half-life:
    • SR9009 มีครึ่งชีวิตที่ค่อนข้างสั้น โดยประมาณ 4-6 ชั่วโมง ซึ่งทำให้ต้องใช้บ่อยครั้งในแต่ละวันเพื่อรักษาระดับสารในร่างกาย
  2. Detection Time:
    • ข้อมูลเกี่ยวกับเวลาการตรวจพบของ SR9009 ยังไม่มีการระบุอย่างชัดเจนเนื่องจากเป็นสารที่ยังอยู่ในระยะการวิจัย อย่างไรก็ตาม เนื่องจากครึ่งชีวิตที่สั้น คาดว่า SR9009 อาจถูกกำจัดออกจากร่างกายได้อย่างรวดเร็ว

กลไกการทำงานของ Stenabolic (SR9009)

SR9009 ทำงานโดยการกระตุ้นตัวรับ Rev-Erbα ในร่างกาย ซึ่งเป็นโปรตีนที่มีบทบาทสำคัญในการควบคุมการเผาผลาญพลังงาน การทำงานของ Rev-Erbα ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเมตาบอลิซึมที่เกี่ยวข้องกับการเผาผลาญไขมันและการสร้างพลังงาน กลไกหลักของ SR9009 ได้แก่:

  1. การเพิ่มการเผาผลาญไขมัน:
    • SR9009 กระตุ้น Rev-Erbα ซึ่งช่วยเพิ่มการเผาผลาญไขมันในร่างกายโดยการเพิ่มการสลายไตรกลีเซอไรด์ในเนื้อเยื่อไขมันและการใช้พลังงานของกล้ามเนื้อ
  2. การเพิ่มความทนทานและการสร้างพลังงาน:
    • SR9009 ช่วยเพิ่มการสร้างไมโตคอนเดรียในกล้ามเนื้อ ซึ่งส่งผลให้กล้ามเนื้อมีพลังงานมากขึ้นและทนทานมากขึ้นในระหว่างการออกกำลังกาย
  3. การปรับปรุงการเผาผลาญน้ำตาล:
    • SR9009 ช่วยปรับปรุงความไวต่ออินซูลินและลดการสะสมของไขมันในตับ ซึ่งอาจมีประโยชน์ในการป้องกันและรักษาภาวะดื้อต่ออินซูลินและโรคเบาหวานชนิดที่ 2

การใช้งานในคนทั่วไปและนักเพาะกาย

การใช้งานในคนทั่วไป

  • การเผาผลาญไขมัน: SR9009 อาจถูกใช้เพื่อลดไขมันในร่างกายและปรับปรุงความทนทานทางกายภาพ
  • การรักษาภาวะดื้อต่ออินซูลิน: SR9009 อาจมีศักยภาพในการปรับปรุงความไวต่ออินซูลินและป้องกันโรคเบาหวานชนิดที่ 2 แม้จะยังอยู่ในขั้นตอนการวิจัย

การใช้งานในนักเพาะกาย

  • การเพิ่มความทนทานและความสามารถในการออกกำลังกาย: นักเพาะกายใช้ SR9009 เพื่อเพิ่มความทนทานและพลังงานในการฝึกซ้อม โดยเฉพาะในกิจกรรมที่ต้องใช้พลังงานสูง เช่น การวิ่งระยะไกลหรือการฝึกซ้อมหนัก
  • การเผาผลาญไขมัน: SR9009 มักถูกใช้ในช่วงการลดน้ำหนักหรือตัดน้ำหนัก โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อลดไขมันในร่างกายขณะที่ยังคงรักษามวลกล้ามเนื้อ

ข้อควรระวัง

  1. ข้อมูลความปลอดภัยที่จำกัด:
    • เนื่องจาก SR9009 ยังอยู่ในระยะการวิจัย ข้อมูลเกี่ยวกับความปลอดภัยในระยะยาวยังมีจำกัด และยังไม่มีการศึกษาที่เพียงพอในมนุษย์เพื่อยืนยันถึงผลข้างเคียงและความเสี่ยงต่อสุขภาพ
  2. การใช้ในทางที่ผิด:
    • การใช้ SR9009 ในวงการฟิตเนสและนักเพาะกายถือเป็นการใช้ในทางที่ผิดและยังไม่ได้รับการอนุมัติจาก FDA ซึ่งอาจส่งผลต่อสุขภาพและขัดต่อกฎหมายในบางประเทศ
  3. การตรวจสารต้องห้ามในการแข่งขันกีฬา:
    • SR9009 ถูกจัดเป็นสารต้องห้ามในกีฬาอาชีพ และการตรวจพบสารนี้ในนักกีฬาจะส่งผลให้ถูกตัดสิทธิ์จากการแข่งขัน
  4. ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น:
    • แม้ว่าจะยังไม่มีข้อมูลชัดเจนเกี่ยวกับผลข้างเคียงของ SR9009 แต่ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้สารนี้ยังคงเป็นที่กังวล เช่น ผลกระทบต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด และผลกระทบต่อระบบการเผาผลาญของร่างกาย

สรุป

  • ความเป็นมา: SR9009 (Stenabolic) พัฒนาโดย Dr. Thomas Burris ที่ The Scripps Research Institute เพื่อวิจัยเกี่ยวกับการควบคุมการเผาผลาญไขมันและความทนทาน
  • ลักษณะทางเคมี: มีสูตรโมเลกุล C20H24ClN3O4S และเป็น Rev-Erbα agonist
  • Half-life: ประมาณ 4-6 ชั่วโมง
  • Detection Time: ข้อมูลยังไม่ชัดเจน เนื่องจากเป็นสารที่อยู่ในระยะการวิจัย
  • กลไกการทำงาน: กระตุ้น Rev-Erbα เพื่อเพิ่มการเผาผลาญไขมัน เพิ่มความทนทาน และปรับปรุงการเผาผลาญน้ำตาล
  • การใช้งานในคนทั่วไป: การเผาผลาญไขมันและการปรับปรุงความทนทาน, การรักษาภาวะดื้อต่ออินซูลิน (ยังอยู่ในระยะการวิจัย)
  • การใช้งานในนักเพาะกาย: การเพิ่มความทนทานและพลังงาน, การเผาผลาญไขมัน
  • ข้อควรระวัง: ข้อมูลความปลอดภัยที่จำกัด, การใช้ในทางที่ผิด, การตรวจสารต้องห้ามในการแข่งขันกีฬา, และผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น

Ibutamoren หรือ MK-677

Ibutamoren หรือที่รู้จักกันในชื่อ MK-677 เป็นสารชนิดหนึ่งที่พัฒนาเพื่อเป็นตัวกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนการเจริญเติบโต (Growth Hormone Secretagogue) โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อรักษาภาวะขาดฮอร์โมนการเจริญเติบโตในเด็กและผู้ใหญ่ รวมถึงการรักษาภาวะสูญเสียกล้ามเนื้อที่เกิดจากการบาดเจ็บหรือโรคต่างๆ Ibutamoren ถูกพัฒนาโดยบริษัทสวิสชื่อว่า Reverse Pharmacology โดยถูกวิจัยในช่วงปลายทศวรรษ 1990 แม้จะยังไม่ได้รับการอนุมัติจากองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA) สำหรับการใช้ในทางการแพทย์ Ibutamoren ได้รับความสนใจในวงการเพาะกายและฟิตเนสเนื่องจากคุณสมบัติที่ช่วยเพิ่มระดับฮอร์โมนการเจริญเติบโต (GH) และอินซูลิน-ไลค์โกรทแฟคเตอร์ 1 (IGF-1) ในร่างกาย

ลักษณะทางเคมีของ Ibutamoren (MK-677)

  • ชื่อทางเคมี: (R)-1′-(2-Methyl-1-pyrrolidinyl)-3-(2-methylphenyl)-2-(1H-indol-3-yl)-2-propanone
  • สูตรโมเลกุล: C27H36N4O5S
  • น้ำหนักโมเลกุล: 624.77 g/mol
  • โครงสร้างเคมี: Ibutamoren มีโครงสร้างโมเลกุลที่ประกอบด้วยวงแหวนอินโดลและเบนซีน ซึ่งเชื่อมต่อกับกลุ่ม pyrrolidinyl และ propanone ทำให้สามารถกระตุ้นตัวรับ ghrelin ได้อย่างจำเพาะเจาะจง

ข้อมูลสำคัญของ Ibutamoren (MK-677)

  1. Half-life:
    • Ibutamoren มีครึ่งชีวิตประมาณ 24 ชั่วโมง ซึ่งหมายความว่าสามารถรับประทานได้เพียงวันละครั้ง
  2. Detection Time:
    • ข้อมูลเกี่ยวกับเวลาการตรวจพบของ Ibutamoren ยังค่อนข้างจำกัด เนื่องจากยังไม่มีการศึกษาที่ครอบคลุม แต่คาดว่าจะสามารถตรวจพบได้ในระบบนานถึง 7-10 วันหลังจากการใช้ครั้งสุดท้าย

กลไกการทำงานของ Ibutamoren (MK-677)

Ibutamoren ทำงานโดยการกระตุ้นตัวรับ Ghrelin ในร่างกาย ซึ่งส่งผลให้เกิดการหลั่งฮอร์โมนการเจริญเติบโต (GH) และ IGF-1 มากขึ้น โดยไม่มีผลต่อระดับคอร์ติซอลในร่างกาย กลไกหลักของ Ibutamoren ได้แก่:

  1. การเพิ่มระดับฮอร์โมนการเจริญเติบโต (GH):
    • Ibutamoren กระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนการเจริญเติบโต (GH) ในปริมาณที่สูงขึ้น ซึ่งส่งผลให้เกิดการเจริญเติบโตของกล้ามเนื้อ การเผาผลาญไขมันที่ดีขึ้น และการฟื้นตัวที่รวดเร็วขึ้นหลังการออกกำลังกาย
  2. การเพิ่มระดับ IGF-1:
    • Ibutamoren ยังช่วยเพิ่มระดับอินซูลิน-ไลค์โกรทแฟคเตอร์ 1 (IGF-1) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการสร้างกล้ามเนื้อและกระดูก รวมถึงการฟื้นฟูเซลล์ในร่างกาย
  3. การเพิ่มความอยากอาหาร:
    • เนื่องจาก Ibutamoren เป็นตัวกระตุ้นตัวรับ ghrelin ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่มีบทบาทในการเพิ่มความอยากอาหาร การใช้ Ibutamoren อาจทำให้ผู้ใช้รู้สึกหิวมากขึ้น

การใช้งานในคนทั่วไปและนักเพาะกาย

การใช้งานในคนทั่วไป

  • การรักษาภาวะขาดฮอร์โมนการเจริญเติบโต: Ibutamoren ถูกวิจัยเพื่อใช้ในการรักษาภาวะขาดฮอร์โมนการเจริญเติบโตในเด็กและผู้ใหญ่ โดยช่วยเพิ่มระดับ GH และ IGF-1 ในร่างกาย
  • การฟื้นฟูกล้ามเนื้อและกระดูก: Ibutamoren อาจถูกใช้ในการรักษาภาวะกล้ามเนื้อลีบและการสูญเสียมวลกระดูก โดยการเพิ่มระดับฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโต

การใช้งานในนักเพาะกาย

  • การเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ: นักเพาะกายใช้ Ibutamoren เพื่อเพิ่มมวลกล้ามเนื้อและความแข็งแรง โดยเฉพาะในช่วงการฝึกฝนอย่างหนัก
  • การฟื้นตัวที่รวดเร็วขึ้น: Ibutamoren ช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็วขึ้นหลังการฝึกซ้อมหนัก โดยการเพิ่มระดับ GH และ IGF-1
  • การลดไขมัน: การเพิ่มระดับ GH ช่วยเพิ่มการเผาผลาญไขมันในร่างกาย ทำให้ Ibutamoren เป็นที่นิยมในการใช้ในช่วงการลดน้ำหนัก

ข้อควรระวัง

  1. ผลกระทบต่อระดับน้ำตาลในเลือด:
    • Ibutamoren อาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจเป็นอันตรายสำหรับผู้ที่มีภาวะเบาหวานหรือผู้ที่มีความเสี่ยงต่อภาวะน้ำตาลในเลือดสูง
  2. การกักเก็บน้ำ:
    • Ibutamoren อาจทำให้เกิดการกักเก็บน้ำในร่างกาย ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการบวมน้ำหรือความดันโลหิตสูง
  3. การใช้ในทางที่ผิด:
    • แม้ Ibutamoren จะมีประโยชน์ในหลายๆ ด้าน แต่การใช้งานในทางที่ผิดโดยไม่มีการควบคุมทางการแพทย์อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ เช่น การเพิ่มขึ้นของน้ำหนักตัวอย่างรวดเร็ว และความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด
  4. ผลกระทบต่อระบบฮอร์โมน:
    • การใช้ Ibutamoren ในระยะยาวอาจทำให้ระบบฮอร์โมนในร่างกายไม่สมดุล เช่น การเพิ่มขึ้นของระดับฮอร์โมนโปรแลคติน ซึ่งอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่เกี่ยวข้องกับระบบสืบพันธุ์

สรุป

  • ความเป็นมา: Ibutamoren (MK-677) พัฒนาเพื่อใช้รักษาภาวะขาดฮอร์โมนการเจริญเติบโตและภาวะสูญเสียกล้ามเนื้อ แต่ยังไม่ได้รับการอนุมัติจาก FDA
  • ลักษณะทางเคมี: มีสูตรโมเลกุล C27H36N4O5S และเป็นตัวกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนการเจริญเติบโต (Growth Hormone Secretagogue)
  • Half-life: ประมาณ 24 ชั่วโมง
  • Detection Time: คาดว่าจะสามารถตรวจพบได้ในระบบนานถึง 7-10 วัน
  • กลไกการทำงาน: กระตุ้นตัวรับ ghrelin เพื่อเพิ่มระดับ GH และ IGF-1 ในร่างกาย
  • การใช้งานในคนทั่วไป: การรักษาภาวะขาดฮอร์โมนการเจริญเติบโต, การฟื้นฟูกล้ามเนื้อและกระดูก
  • การใช้งานในนักเพาะกาย: การเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ, การฟื้นตัวที่รวดเร็วขึ้น, การลดไขมัน
  • ข้อควรระวัง: ผลกระทบต่อระดับน้ำตาลในเลือด, การกักเก็บน้ำ, การใช้ในทางที่ผิด, ผลกระทบต่อระบบฮอร์โมน

Cardarine หรือ GW-501516, GW1516

Cardarine หรือที่รู้จักในชื่อ GW-501516 หรือ GW1516 เป็น Peroxisome Proliferator-Activated Receptor Delta (PPARδ) agonist ซึ่งถูกพัฒนาโดย Ligand Pharmaceuticals และ GlaxoSmithKline ในช่วงทศวรรษ 1990 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ในการรักษาภาวะที่เกี่ยวข้องกับระบบเผาผลาญ เช่น ภาวะอ้วน (obesity), ภาวะเมตาบอลิกซินโดรม (metabolic syndrome), และเบาหวานชนิดที่ 2 (type 2 diabetes) อย่างไรก็ตาม การวิจัยในมนุษย์ถูกยกเลิกเนื่องจากพบว่าการใช้ Cardarine ในปริมาณสูงในสัตว์ทดลองทำให้เกิดมะเร็งหลายชนิด แต่แม้จะมีความเสี่ยงสูง Cardarine กลับได้รับความนิยมในหมู่นักเพาะกายและผู้ที่ชื่นชอบการออกกำลังกายเนื่องจากมีคุณสมบัติในการเพิ่มความทนทานและเผาผลาญไขมัน

ลักษณะทางเคมีของ Cardarine (GW-501516)

  • ชื่อทางเคมี: 2-(2-(4-(Trifluoromethyl)phenyl)thiazol-4-yl)-1H-benzimidazole-4-carboxylic acid
  • สูตรโมเลกุล: C21H18F3NO3S2
  • น้ำหนักโมเลกุล: 453.50 g/mol
  • โครงสร้างเคมี: Cardarine มีโครงสร้างที่ประกอบด้วยวงแหวนเบนซิมิดาโซลและไธอะโซล ซึ่งเชื่อมต่อกันด้วยกลุ่ม trifluoromethylphenyl และ carboxylic acid

ข้อมูลสำคัญของ Cardarine (GW-501516)

  1. Half-life:
    • Cardarine มีครึ่งชีวิตประมาณ 16-24 ชั่วโมง ซึ่งทำให้สามารถรับประทานได้เพียงวันละครั้ง
  2. Detection Time:
    • Cardarine สามารถตรวจพบในปัสสาวะได้นานถึง 40 วันหลังการใช้ครั้งสุดท้าย

กลไกการทำงานของ Cardarine (GW-501516)

Cardarine ทำงานโดยการกระตุ้นตัวรับ Peroxisome Proliferator-Activated Receptor Delta (PPARδ) ในร่างกาย ซึ่งส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในการเผาผลาญไขมันและเพิ่มความทนทานของกล้ามเนื้อ กลไกหลักของ Cardarine ได้แก่:

  1. การเพิ่มการเผาผลาญไขมัน:
    • Cardarine กระตุ้น PPARδ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการเผาผลาญกรดไขมันในกล้ามเนื้อ ทำให้ร่างกายสามารถเผาผลาญไขมันเป็นพลังงานได้มากขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยลดการสะสมของไขมันในร่างกาย
  2. การเพิ่มความทนทานของกล้ามเนื้อ:
    • Cardarine ช่วยเพิ่มการสร้างพลังงานในกล้ามเนื้อโดยการกระตุ้นกระบวนการสร้างไมโตคอนเดรียใหม่ ซึ่งส่งผลให้กล้ามเนื้อมีความทนทานมากขึ้นและสามารถทำงานได้หนักขึ้น
  3. การปรับปรุงระบบเผาผลาญน้ำตาล:
    • Cardarine ช่วยเพิ่มความไวต่ออินซูลินในร่างกาย ทำให้สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีขึ้น ซึ่งมีประโยชน์ในการป้องกันและรักษาภาวะเบาหวานชนิดที่ 2

การใช้งานในคนทั่วไปและนักเพาะกาย

การใช้งานในคนทั่วไป

  • การควบคุมน้ำหนักและการเผาผลาญไขมัน: Cardarine ถูกวิจัยเพื่อนำมาใช้ในการรักษาภาวะอ้วนและภาวะเมตาบอลิกซินโดรม แต่เนื่องจากพบว่ามีความเสี่ยงสูงที่จะทำให้เกิดมะเร็ง การวิจัยนี้จึงถูกยกเลิก
  • การป้องกันและรักษาภาวะเบาหวานชนิดที่ 2: Cardarine ช่วยเพิ่มความไวต่ออินซูลินในร่างกาย ทำให้สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีขึ้น

การใช้งานในนักเพาะกาย

  • การเพิ่มความทนทานและความสามารถในการออกกำลังกาย: นักเพาะกายและผู้ที่ชื่นชอบการออกกำลังกายใช้ Cardarine เพื่อเพิ่มความทนทานและประสิทธิภาพในการฝึกซ้อม โดยเฉพาะในกิจกรรมที่ต้องใช้พลังงานสูง เช่น การวิ่งระยะไกลหรือการฝึกซ้อมหนัก
  • การเผาผลาญไขมันและการรักษามวลกล้ามเนื้อ: Cardarine มักถูกใช้ในช่วงการตัดน้ำหนักหรือการลดไขมัน เพื่อช่วยลดไขมันในร่างกายขณะที่ยังคงรักษามวลกล้ามเนื้อเอาไว้

ข้อควรระวัง

  1. ความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง:
    • การศึกษาพบว่าการใช้ Cardarine ในปริมาณสูงในสัตว์ทดลองทำให้เกิดมะเร็งหลายชนิด แม้ว่าจะยังไม่มีการศึกษาในมนุษย์ที่เพียงพอ แต่ความเสี่ยงนี้ทำให้ Cardarine ถูกยกเลิกการพัฒนาเพื่อใช้ทางการแพทย์
  2. การใช้ในทางที่ผิด:
    • เนื่องจาก Cardarine ไม่ได้รับการอนุมัติจาก FDA สำหรับการใช้ทางการแพทย์ การใช้งานในวงการฟิตเนสและนักเพาะกายถือเป็นการใช้ในทางที่ผิด ซึ่งอาจส่งผลต่อสุขภาพและขัดต่อกฎหมายในบางประเทศ
  3. การตรวจสารต้องห้ามในการแข่งขันกีฬา:
    • Cardarine ถูกจัดเป็นสารต้องห้ามในกีฬาอาชีพ และการตรวจพบสารนี้ในนักกีฬาจะส่งผลให้ถูกตัดสิทธิ์จากการแข่งขัน
  4. ผลกระทบต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด:
    • แม้ Cardarine จะมีคุณสมบัติในการเพิ่มความทนทาน แต่การใช้ในระยะยาวหรือในปริมาณสูงอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด

สรุป

  • ความเป็นมา: Cardarine (GW-501516) พัฒนาโดย Ligand Pharmaceuticals และ GlaxoSmithKline เพื่อรักษาภาวะอ้วนและเบาหวานชนิดที่ 2 แต่การวิจัยถูกยกเลิกเนื่องจากพบว่ามีความเสี่ยงในการทำให้เกิดมะเร็ง
  • ลักษณะทางเคมี: มีสูตรโมเลกุล C21H18F3NO3S2 และเป็น Peroxisome Proliferator-Activated Receptor Delta (PPARδ) agonist
  • Half-life: ประมาณ 16-24 ชั่วโมง
  • Detection Time: สามารถตรวจพบในปัสสาวะได้นานถึง 40 วัน
  • กลไกการทำงาน: กระตุ้น PPARδ เพื่อเพิ่มการเผาผลาญไขมัน เพิ่มความทนทานของกล้ามเนื้อ และปรับปรุงระบบเผาผลาญน้ำตาล
  • การใช้งานในคนทั่วไป: การควบคุมน้ำหนัก, การรักษาเบาหวานชนิดที่ 2 (ยังไม่ได้รับการอนุมัติ)
  • การใช้งานในนักเพาะกาย: การเพิ่มความทนทาน, การเผาผลาญไขมัน
  • ข้อควรระวัง: ความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง, การใช้ในทางที่ผิด, การตรวจสารต้องห้ามในการแข่งขันกีฬา, ผลกระทบต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด

Venom หรือ S-23

Venom หรือที่รู้จักในชื่อ S-23 เป็น Selective Androgen Receptor Modulator (SARM) ที่พัฒนาโดย GTX, Inc. S-23 ได้รับการพัฒนาขึ้นในช่วงต้นทศวรรษ 2000 และอยู่ในขั้นตอนการวิจัยเพื่อนำมาใช้เป็นยาคุมกำเนิดสำหรับผู้ชาย เนื่องจากมันมีความสามารถในการลดระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนในร่างกายอย่างมีประสิทธิภาพ S-23 ไม่ได้รับการอนุมัติจากองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA) สำหรับการใช้ในทางการแพทย์ แต่ก็ได้รับความนิยมในหมู่นักเพาะกายและผู้ที่สนใจในการเพิ่มประสิทธิภาพร่างกายเนื่องจากมีคุณสมบัติในการเพิ่มมวลกล้ามเนื้อและลดไขมัน

ลักษณะทางเคมีของ Venom (S-23)

  • ชื่อทางเคมี: (2S)-N-(4-cyano-3-(trifluoromethyl)phenyl)-3-(4-cyanophenoxy)-2-hydroxy-2-methylpropanamide
  • สูตรโมเลกุล: C18H13ClF4N2O3
  • น้ำหนักโมเลกุล: 416.75 g/mol
  • โครงสร้างเคมี: S-23 มีโครงสร้างที่ประกอบด้วยวงแหวนเบนซีนสองวงเชื่อมต่อกันด้วยกลุ่ม cyanophenoxy และ trifluoromethyl ซึ่งช่วยให้ S-23 สามารถจับกับตัวรับแอนโดรเจนในเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อและกระดูกได้อย่างจำเพาะเจาะจง

ข้อมูลสำคัญของ Venom (S-23)

  1. Half-life:
    • S-23 มีครึ่งชีวิตประมาณ 11.9 ชั่วโมง ซึ่งทำให้ต้องรับประทานหลายครั้งต่อวันเพื่อรักษาระดับยาในเลือดให้คงที่
  2. Detection Time:
    • ข้อมูลเกี่ยวกับเวลาการตรวจพบของ S-23 ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด เนื่องจากการวิจัยในมนุษย์ยังมีจำกัด แต่คาดว่าจะสามารถตรวจพบได้ในระบบนานถึง 10-14 วันหลังการใช้ครั้งสุดท้าย

กลไกการทำงานของ Venom (S-23)

S-23 ทำงานโดยการจับกับตัวรับแอนโดรเจนในเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อและกระดูก ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการสร้างโปรตีนและการเพิ่มขึ้นของมวลกล้ามเนื้อ ขณะที่ลดผลกระทบต่อเนื้อเยื่ออื่นๆ กลไกหลักของ S-23 ได้แก่:

  1. การเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ:
    • S-23 ช่วยกระตุ้นการสังเคราะห์โปรตีนในกล้ามเนื้อ ทำให้เกิดการเพิ่มขึ้นของมวลกล้ามเนื้อและความแข็งแรง โดยเฉพาะในผู้ที่ฝึกฝนการออกกำลังกายอย่างหนัก
  2. การลดไขมัน:
    • S-23 มีคุณสมบัติในการช่วยลดไขมันในร่างกายโดยการเพิ่มอัตราการเผาผลาญพลังงาน ซึ่งทำให้นักเพาะกายสามารถลดไขมันในร่างกายได้ในขณะที่ยังคงรักษามวลกล้ามเนื้อเอาไว้
  3. การลดระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน:
    • S-23 มีความสามารถในการลดระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนในร่างกายอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นเหตุผลที่ถูกวิจัยเพื่อนำมาใช้เป็นยาคุมกำเนิดสำหรับผู้ชาย

การใช้งานในคนทั่วไปและนักเพาะกาย

การใช้งานในคนทั่วไป

  • การคุมกำเนิดสำหรับผู้ชาย: S-23 อยู่ในขั้นตอนการวิจัยเพื่อใช้เป็นยาคุมกำเนิดสำหรับผู้ชาย โดยการลดระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนในร่างกายเพื่อลดการผลิตอสุจิ
  • การรักษาภาวะกล้ามเนื้อลีบ: แม้ว่า S-23 จะไม่ได้รับการอนุมัติสำหรับการใช้ทางการแพทย์ แต่ก็มีการศึกษาเพื่อใช้ในการรักษาภาวะกล้ามเนื้อลีบและโรคที่เกี่ยวข้องกับการสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ

การใช้งานในนักเพาะกาย

  • การเพิ่มมวลกล้ามเนื้อและความแข็งแรง: นักเพาะกายใช้ S-23 เพื่อเพิ่มมวลกล้ามเนื้อและความแข็งแรง โดยคาดหวังว่าจะได้รับผลลัพธ์ที่คล้ายกับการใช้สเตียรอยด์แอนโดรเจนแต่มีผลข้างเคียงน้อยกว่า
  • การลดไขมัน: S-23 มักใช้ในช่วงการลดน้ำหนักหรือตัดน้ำหนัก โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อลดไขมันในร่างกายขณะที่ยังคงรักษามวลกล้ามเนื้อ

ข้อควรระวัง

  1. ผลกระทบต่อระดับฮอร์โมน:
    • เนื่องจาก S-23 มีความสามารถในการลดระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน การใช้ในระยะยาวหรือในปริมาณสูงอาจทำให้เกิดภาวะฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนต่ำ ซึ่งจำเป็นต้องใช้ Post Cycle Therapy (PCT) เพื่อฟื้นฟูระบบฮอร์โมนหลังหยุดใช้ยา
  2. ผลข้างเคียงต่อระบบสืบพันธุ์:
    • เนื่องจาก S-23 ถูกวิจัยเพื่อใช้เป็นยาคุมกำเนิดสำหรับผู้ชาย การใช้ S-23 อาจทำให้การผลิตอสุจิลดลง ซึ่งอาจส่งผลต่อความสามารถในการสืบพันธุ์
  3. ผลกระทบต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด:
    • มีบางรายงานที่ชี้ให้เห็นว่าการใช้ S-23 อาจทำให้ระดับไขมันในเลือดเปลี่ยนแปลง ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด
  4. การใช้ในทางที่ผิด:
    • เนื่องจาก S-23 ไม่ได้รับการอนุมัติจาก FDA สำหรับการใช้ทางการแพทย์ การใช้งานในวงการฟิตเนสและนักเพาะกายถือเป็นการใช้ในทางที่ผิด ซึ่งอาจส่งผลต่อสุขภาพและขัดต่อกฎหมายในบางประเทศ
  5. การตรวจสารต้องห้ามในการแข่งขันกีฬา:
    • S-23 ถูกจัดเป็นสารต้องห้ามในกีฬาอาชีพ และการตรวจพบสารนี้ในนักกีฬาจะส่งผลให้ถูกตัดสิทธิ์จากการแข่งขัน

สรุป

  • ความเป็นมา: S-23 (Venom) พัฒนาโดย GTX, Inc. เพื่อใช้เป็นยาคุมกำเนิดสำหรับผู้ชายและรักษาภาวะกล้ามเนื้อลีบ แต่ไม่ได้รับการอนุมัติจาก FDA
  • ลักษณะทางเคมี: มีสูตรโมเลกุล C18H13ClF4N2O3 และเป็น Selective Androgen Receptor Modulator (SARM)
  • Half-life: ประมาณ 11.9 ชั่วโมง
  • Detection Time: คาดว่าจะสามารถตรวจพบในระบบได้นานถึง 10-14 วัน
  • กลไกการทำงาน: จับกับตัวรับแอนโดรเจนในเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อและกระดูกเพื่อเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ ลดไขมัน และลดระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน
  • การใช้งานในคนทั่วไป: การคุมกำเนิดสำหรับผู้ชายและการรักษาภาวะกล้ามเนื้อลีบ
  • การใช้งานในนักเพาะกาย: การเพิ่มมวลกล้ามเนื้อและความแข็งแรง การลดไขมัน
  • ข้อควรระวัง: ผลกระทบต่อระดับฮอร์โมนและระบบสืบพันธุ์, ผลกระทบต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด, การใช้ในทางที่ผิด, และการตรวจสารต้องห้ามในการแข่งขันกีฬา

Andarine หรือ S4

Andarine หรือที่รู้จักในชื่อ S4 เป็น Selective Androgen Receptor Modulator (SARM) ที่ถูกพัฒนาโดย GTX, Inc. เพื่อใช้ในการรักษาภาวะกล้ามเนื้อลีบ (muscle wasting) และโรคต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการสูญเสียมวลกล้ามเนื้อเช่น โรคกระดูกพรุน (osteoporosis) และภาวะเสื่อมของกล้ามเนื้อ Andarine ถูกพัฒนาขึ้นในช่วงต้นทศวรรษ 2000 และแม้จะไม่ได้รับการอนุมัติจากองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA) สำหรับการใช้ในทางการแพทย์ แต่กลับได้รับความนิยมในวงการนักเพาะกายเนื่องจากความสามารถในการเพิ่มมวลกล้ามเนื้อและลดไขมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ลักษณะทางเคมีของ Andarine (S4)

  • ชื่อทางเคมี: (2S)-3-(4-cyanophenoxy)-N-[4-cyano-3-(trifluoromethyl)phenyl]-2-hydroxy-2-methylpropanamide
  • สูตรโมเลกุล: C19H18F3N3O4
  • น้ำหนักโมเลกุล: 441.36 g/mol
  • โครงสร้างเคมี: Andarine มีโครงสร้างที่ซับซ้อน ซึ่งประกอบด้วยวงแหวนเบนซีนสองวงเชื่อมต่อกันผ่านกลุ่ม cyanophenoxy และ trifluoromethyl ซึ่งช่วยให้ Andarine สามารถจับกับตัวรับแอนโดรเจนในเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อและกระดูกได้อย่างจำเพาะเจาะจง

ข้อมูลสำคัญของ Andarine (S4)

  1. Half-life:
    • Andarine มีครึ่งชีวิตประมาณ 4-6 ชั่วโมง ซึ่งทำให้ต้องรับประทานหลายครั้งต่อวันเพื่อรักษาระดับยาในเลือดให้คงที่
  2. Detection Time:
    • Andarine สามารถตรวจพบในปัสสาวะได้นานถึง 10 วันหลังจากการใช้ครั้งสุดท้าย ขึ้นอยู่กับวิธีการตรวจและปริมาณการใช้

กลไกการทำงานของ Andarine (S4)

Andarine ทำงานโดยการจับกับตัวรับแอนโดรเจนในเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อและกระดูก ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการสร้างโปรตีนและการเพิ่มขึ้นของมวลกล้ามเนื้อ ขณะที่ลดผลกระทบต่อเนื้อเยื่ออื่นๆ กลไกหลักของ Andarine ได้แก่:

  1. การเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ:
    • Andarine ช่วยกระตุ้นการสังเคราะห์โปรตีนในกล้ามเนื้อ ทำให้เกิดการเพิ่มขึ้นของมวลกล้ามเนื้อและความแข็งแรง โดยเฉพาะในผู้ที่ฝึกฝนการออกกำลังกายอย่างหนัก
  2. การลดไขมัน:
    • Andarine มีคุณสมบัติในการช่วยลดไขมันในร่างกายโดยการเพิ่มอัตราการเผาผลาญพลังงาน ซึ่งทำให้นักเพาะกายสามารถลดไขมันในร่างกายได้ในขณะที่ยังคงรักษามวลกล้ามเนื้อเอาไว้
  3. การเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูก:
    • Andarine สามารถช่วยเพิ่มความหนาแน่นของกระดูกและป้องกันการสูญเสียกระดูก ซึ่งมีประโยชน์ในผู้ที่มีความเสี่ยงต่อภาวะกระดูกพรุน

การใช้งานในคนทั่วไปและนักเพาะกาย

การใช้งานในคนทั่วไป

  • การรักษาภาวะกล้ามเนื้อลีบ: Andarine ได้รับการพัฒนาเพื่อใช้ในการรักษาภาวะกล้ามเนื้อลีบและโรคที่เกี่ยวข้องกับการสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ
  • การรักษาภาวะกระดูกพรุน: Andarine อาจมีศักยภาพในการใช้เพื่อป้องกันและรักษาภาวะกระดูกพรุนในผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีความเสี่ยงสูง แม้ว่าจะยังไม่ได้รับการอนุมัติสำหรับการใช้ทางการแพทย์

การใช้งานในนักเพาะกาย

  • การเพิ่มมวลกล้ามเนื้อและความแข็งแรง: นักเพาะกายใช้ Andarine เพื่อเพิ่มมวลกล้ามเนื้อและความแข็งแรง โดยคาดหวังว่าจะได้รับผลลัพธ์ที่คล้ายกับการใช้สเตียรอยด์แอนโดรเจนแต่มีผลข้างเคียงน้อยกว่า
  • การลดไขมัน: Andarine มักใช้ในช่วงการลดน้ำหนักหรือตัดน้ำหนัก โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อลดไขมันในร่างกายขณะที่ยังคงรักษามวลกล้ามเนื้อ

ข้อควรระวัง

  1. ผลกระทบต่อระบบการมองเห็น:
    • หนึ่งในผลข้างเคียงที่ได้รับการรายงานจากการใช้ Andarine คือการเกิดปัญหาด้านการมองเห็น เช่น การมองเห็นสีเหลือง หรือการมองเห็นภาพในที่แสงน้อยลำบาก ซึ่งเกิดจากการที่ Andarine จับกับตัวรับแอนโดรเจนในเนื้อเยื่อดวงตา
  2. ผลกระทบต่อระบบฮอร์โมน:
    • การใช้ Andarine ในปริมาณสูงหรือนานเกินไปอาจทำให้ระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนในร่างกายลดลง ซึ่งอาจต้องใช้ Post Cycle Therapy (PCT) เพื่อฟื้นฟูระบบฮอร์โมนหลังจากหยุดใช้ยา
  3. การใช้ในทางที่ผิด:
    • เนื่องจาก Andarine ไม่ได้รับการอนุมัติจาก FDA สำหรับการใช้ทางการแพทย์ การใช้งานในวงการฟิตเนสและนักเพาะกายถือเป็นการใช้ในทางที่ผิด ซึ่งอาจส่งผลต่อสุขภาพและขัดต่อกฎหมายในบางประเทศ
  4. การตรวจสารต้องห้ามในการแข่งขันกีฬา:
    • Andarine ถูกจัดเป็นสารต้องห้ามในกีฬาอาชีพ การตรวจพบสารนี้ในนักกีฬาจะส่งผลให้ถูกตัดสิทธิ์จากการแข่งขัน

สรุป

  • ความเป็นมา: Andarine (S4) พัฒนาโดย GTX, Inc. เพื่อรักษาภาวะกล้ามเนื้อลีบและภาวะกระดูกพรุน แต่ไม่ได้รับการอนุมัติจาก FDA
  • ลักษณะทางเคมี: มีสูตรโมเลกุล C19H18F3N3O4 และเป็น Selective Androgen Receptor Modulator (SARM)
  • Half-life: ประมาณ 4-6 ชั่วโมง
  • Detection Time: สามารถตรวจพบในระบบได้นานถึง 10 วัน
  • กลไกการทำงาน: จับกับตัวรับแอนโดรเจนในเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อและกระดูกเพื่อเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ ลดไขมัน และป้องกันการสูญเสียกระดูก
  • การใช้งานในคนทั่วไป: การรักษาภาวะกล้ามเนื้อลีบและภาวะกระดูกพรุน
  • การใช้งานในนักเพาะกาย: การเพิ่มมวลกล้ามเนื้อและความแข็งแรง การลดไขมัน
  • ข้อควรระวัง: ผลกระทบต่อระบบการมองเห็น, ผลกระทบต่อระบบฮอร์โมน, การใช้ในทางที่ผิด, และการตรวจสารต้องห้ามในการแข่งขันกีฬา

Testolone หรือ RAD140

Testolone หรือที่รู้จักในชื่อ RAD140 เป็น Selective Androgen Receptor Modulator (SARM) ที่พัฒนาโดยบริษัท Radius Health, Inc. ในช่วงกลางทศวรรษ 2000 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ในการรักษาภาวะสูญเสียกล้ามเนื้อที่เกิดจากโรคมะเร็งและโรคที่เกี่ยวข้องกับอายุ เช่น sarcopenia (การสูญเสียมวลกล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้องกับอายุ) แม้ว่า RAD140 จะยังไม่ผ่านการอนุมัติจากองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA) สำหรับการใช้ในทางการแพทย์ แต่ก็ได้รับความสนใจอย่างมากในวงการฟิตเนสและนักเพาะกายเนื่องจากคุณสมบัติในการเพิ่มมวลกล้ามเนื้อและความแข็งแรงที่คล้ายคลึงกับการใช้สเตียรอยด์แอนโดรเจน แต่มีผลข้างเคียงที่คาดว่าน้อยกว่า

ลักษณะทางเคมีของ Testolone (RAD140)

  • ชื่อทางเคมี: 2-chloro-4-[(1R,2S)-1-(4-cyanophenyl)-2-hydroxypropylamino]benzonitrile
  • สูตรโมเลกุล: C20H16ClN5O2
  • น้ำหนักโมเลกุล: 393.83 g/mol
  • โครงสร้างเคมี: Testolone มีโครงสร้างโมเลกุลที่ประกอบด้วยวงแหวนเบนซีนสองวงเชื่อมต่อกันผ่านกลุ่ม nitrile และ amine ซึ่งทำให้มีความสามารถในการจับกับตัวรับแอนโดรเจนอย่างจำเพาะเจาะจง

ข้อมูลสำคัญของ Testolone (RAD140)

  1. Half-life:
    • Testolone มีครึ่งชีวิตประมาณ 16-20 ชั่วโมง ซึ่งหมายความว่าสามารถรับประทานได้เพียงวันละครั้ง
  2. Detection Time:
    • เนื่องจากการวิจัยเกี่ยวกับ RAD140 ยังค่อนข้างใหม่ ข้อมูลเกี่ยวกับเวลาการตรวจพบยังไม่ชัดเจน แต่คาดว่าจะสามารถตรวจพบได้ในปัสสาวะประมาณ 2-3 สัปดาห์หลังจากการใช้ครั้งสุดท้าย

กลไกการทำงานของ Testolone (RAD140)

Testolone ทำงานโดยการจับกับตัวรับแอนโดรเจนในเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อและกระดูกอย่างจำเพาะเจาะจง ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการสร้างโปรตีนและเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ ขณะที่ลดผลกระทบต่อเนื้อเยื่ออื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์จากการใช้สเตียรอยด์แอนโดรเจน กลไกหลักของ Testolone ได้แก่:

  1. การเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ:
    • Testolone ช่วยกระตุ้นการสังเคราะห์โปรตีนในกล้ามเนื้อ ซึ่งทำให้เกิดการเพิ่มขึ้นของมวลกล้ามเนื้อและความแข็งแรง โดยเฉพาะในผู้ที่ฝึกฝนการออกกำลังกายอย่างหนัก
  2. การป้องกันการสูญเสียกล้ามเนื้อ:
    • Testolone มีศักยภาพในการป้องกันการสูญเสียมวลกล้ามเนื้อในผู้ที่มีภาวะกล้ามเนื้อลีบ (cachexia) หรือผู้ที่หยุดออกกำลังกายเป็นเวลานาน
  3. การเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูก:
    • Testolone อาจช่วยเพิ่มความหนาแน่นของกระดูกและป้องกันการสูญเสียกระดูก ซึ่งมีประโยชน์สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงต่อภาวะกระดูกพรุน

การใช้งานในคนทั่วไปและนักเพาะกาย

การใช้งานในคนทั่วไป

  • การรักษาภาวะสูญเสียกล้ามเนื้อ: Testolone ได้รับการพัฒนาเพื่อรักษาภาวะสูญเสียกล้ามเนื้อที่เกิดจากโรคมะเร็งหรือภาวะที่เกี่ยวข้องกับอายุ เช่น sarcopenia
  • การเพิ่มความแข็งแรงของกระดูก: Testolone อาจมีศักยภาพในการใช้เพื่อป้องกันภาวะกระดูกพรุนในผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีความเสี่ยงสูง แม้จะยังไม่ได้รับการอนุมัติสำหรับการใช้ทางการแพทย์

การใช้งานในนักเพาะกาย

  • การเพิ่มมวลกล้ามเนื้อและความแข็งแรง: นักเพาะกายและผู้ที่ชื่นชอบการออกกำลังกายมักใช้ Testolone เพื่อเพิ่มมวลกล้ามเนื้อและความแข็งแรง โดยคาดหวังว่าจะได้รับผลลัพธ์ที่คล้ายกับสเตียรอยด์แอนโดรเจนแต่มีผลข้างเคียงน้อยกว่า
  • การรักษาระหว่างการตัดน้ำหนัก: Testolone มักใช้ในช่วงที่ต้องการลดน้ำหนักหรือไขมันในร่างกาย โดยยังคงรักษามวลกล้ามเนื้อและความแข็งแรงไว้

ข้อควรระวัง

  1. ผลกระทบต่อระบบฮอร์โมน:
    • แม้ว่า Testolone จะมีผลกระทบต่อระบบฮอร์โมนน้อยกว่าสเตียรอยด์ แต่การใช้ในระยะยาวหรือในปริมาณสูงอาจทำให้ระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนลดลง ซึ่งอาจจำเป็นต้องใช้ Post Cycle Therapy (PCT) เพื่อฟื้นฟูระบบฮอร์โมนหลังจากหยุดใช้ยา
  2. ผลข้างเคียงต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด:
    • การใช้ Testolone อาจส่งผลต่อระดับไขมันในเลือด ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด
  3. การใช้ในทางที่ผิด:
    • เนื่องจาก Testolone ไม่ได้รับการอนุมัติจาก FDA สำหรับการใช้ทางการแพทย์ การใช้งานในวงการฟิตเนสและนักเพาะกายถือเป็นการใช้ในทางที่ผิด ซึ่งอาจส่งผลต่อสุขภาพและขัดต่อกฎหมายในบางประเทศ
  4. การตรวจสารต้องห้ามในการแข่งขันกีฬา:
    • Testolone ถูกจัดเป็นสารต้องห้ามในกีฬาอาชีพ และการตรวจพบสารนี้ในนักกีฬาจะส่งผลให้ถูกตัดสิทธิ์จากการแข่งขัน

สรุป

  • ความเป็นมา: Testolone (RAD140) พัฒนาโดย Radius Health, Inc. เพื่อรักษาภาวะสูญเสียกล้ามเนื้อ แต่ไม่ได้รับการอนุมัติจาก FDA
  • ลักษณะทางเคมี: มีสูตรโมเลกุล C20H16ClN5O2 และเป็น Selective Androgen Receptor Modulator (SARM)
  • Half-life: ประมาณ 16-20 ชั่วโมง
  • Detection Time: สามารถตรวจพบในระบบได้นานถึง 2-3 สัปดาห์
  • กลไกการทำงาน: จับกับตัวรับแอนโดรเจนในเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อและกระดูกเพื่อเพิ่มมวลกล้ามเนื้อและป้องกันการสูญเสียกล้ามเนื้อ
  • การใช้งานในคนทั่วไป: การรักษาภาวะสูญเสียกล้ามเนื้อและการเพิ่มความแข็งแรงของกระดูก
  • การใช้งานในนักเพาะกาย: การเพิ่มมวลกล้ามเนื้อและความแข็งแรง การรักษาระหว่างการตัดน้ำหนัก
  • ข้อควรระวัง: ผลกระทบต่อระบบฮอร์โมน, ผลข้างเคียงต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด, การใช้ในทางที่ผิด, และการตรวจสารต้องห้ามในการแข่งขันกีฬา

Ligandrol หรือ LGD-4033

Ligandrol หรือที่รู้จักในชื่อ LGD-4033 เป็น Selective Androgen Receptor Modulator (SARM) ที่พัฒนาโดยบริษัท Ligand Pharmaceuticals ในช่วงต้นทศวรรษ 2000 LGD-4033 ได้รับการพัฒนาเพื่อใช้ในการรักษาภาวะสูญเสียกล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้องกับโรคต่างๆ เช่น ภาวะกล้ามเนื้อเสื่อม (muscular dystrophy) และภาวะกล้ามเนื้อลีบ (cachexia) แม้ว่า Ligandrol จะยังไม่ได้รับการอนุมัติจากองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA) สำหรับการใช้ทางการแพทย์ แต่กลับได้รับความนิยมอย่างมากในวงการนักเพาะกายและฟิตเนสเนื่องจากความสามารถในการเพิ่มมวลกล้ามเนื้อและความแข็งแรง

ลักษณะทางเคมีของ Ligandrol

  • ชื่อทางเคมี: (4-((R)-2-((R)-2,2,2-trifluoro-1-hydroxyethyl)pyrrolidin-1-yl)-2-trifluoromethyl)benzonitrile
  • สูตรโมเลกุล: C14H12F6N2O
  • น้ำหนักโมเลกุล: 338.25 g/mol
  • โครงสร้างเคมี: Ligandrol มีโครงสร้างที่ซับซ้อนซึ่งประกอบด้วยวงแหวนไพโรลิดีนและกลุ่ม trifluoromethyl ทำให้สามารถจับกับตัวรับแอนโดรเจนในเนื้อเยื่อได้อย่างจำเพาะเจาะจง

ข้อมูลสำคัญของ Ligandrol (LGD-4033)

  1. Half-life:
    • Ligandrol มีครึ่งชีวิตประมาณ 24-36 ชั่วโมง ซึ่งทำให้สามารถรับประทานได้เพียงวันละครั้ง
  2. Detection Time:
    • Ligandrol สามารถตรวจพบในระบบได้ยาวนานถึง 21 วันหลังจากการใช้ครั้งสุดท้าย ขึ้นอยู่กับวิธีการตรวจและปริมาณการใช้

กลไกการทำงานของ Ligandrol

Ligandrol ทำงานโดยการจับกับตัวรับแอนโดรเจนในเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อและกระดูกอย่างจำเพาะเจาะจง ซึ่งส่งผลให้เกิดการกระตุ้นการสร้างโปรตีนและการเพิ่มขึ้นของมวลกล้ามเนื้อ กลไกหลักของ Ligandrol ได้แก่:

  1. การเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ:
    • Ligandrol ช่วยกระตุ้นการสังเคราะห์โปรตีนในกล้ามเนื้อ ซึ่งทำให้เกิดการเพิ่มขึ้นของมวลกล้ามเนื้อและความแข็งแรง โดยไม่ส่งผลกระทบต่อเนื้อเยื่ออื่นๆ อย่างที่สเตียรอยด์แอนโดรเจนทำ
  2. การป้องกันการสูญเสียกล้ามเนื้อ:
    • Ligandrol มีความสามารถในการป้องกันการสูญเสียมวลกล้ามเนื้อในภาวะที่กล้ามเนื้อลดลง เช่น ภาวะที่เกิดจากการเจ็บป่วย การบาดเจ็บ หรือการหยุดออกกำลังกาย
  3. การเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูก:
    • Ligandrol ยังสามารถช่วยเพิ่มความหนาแน่นของกระดูกและป้องกันการสูญเสียกระดูก ซึ่งมีประโยชน์ในผู้ที่มีความเสี่ยงต่อภาวะกระดูกพรุน

การใช้งานในคนทั่วไปและนักเพาะกาย

การใช้งานในคนทั่วไป

  • การรักษาภาวะสูญเสียกล้ามเนื้อ: Ligandrol ได้รับการพัฒนาเพื่อรักษาภาวะสูญเสียกล้ามเนื้อในผู้ป่วยที่มีภาวะทางการแพทย์ เช่น cachexia, sarcopenia, และ muscular dystrophy
  • การเพิ่มความแข็งแรงของกระดูก: Ligandrol อาจมีศักยภาพในการใช้เพื่อป้องกันภาวะกระดูกพรุนในผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีความเสี่ยงสูง แม้ว่าจะยังไม่ได้รับการอนุมัติสำหรับการใช้ทางการแพทย์

การใช้งานในนักเพาะกาย

  • การเพิ่มมวลกล้ามเนื้อและความแข็งแรง: นักเพาะกายและผู้ที่ชื่นชอบการออกกำลังกายมักใช้ Ligandrol เพื่อเพิ่มมวลกล้ามเนื้อและความแข็งแรง โดยคาดหวังว่าจะได้รับผลลัพธ์ที่คล้ายกับสเตียรอยด์แอนโดรเจนแต่มีผลข้างเคียงน้อยกว่า
  • การรักษาระหว่างการตัดน้ำหนัก: Ligandrol มักใช้ในช่วงที่ต้องการลดน้ำหนักหรือไขมันในร่างกาย โดยยังคงรักษามวลกล้ามเนื้อและความแข็งแรงไว้

ข้อควรระวัง

  1. ผลกระทบต่อระบบฮอร์โมน:
    • แม้ Ligandrol จะมีผลกระทบต่อระบบฮอร์โมนน้อยกว่าสเตียรอยด์ แต่การใช้ในระยะยาวหรือในปริมาณสูงอาจทำให้ระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนลดลง ซึ่งอาจจำเป็นต้องทำ Post Cycle Therapy (PCT) เพื่อฟื้นฟูระบบฮอร์โมนหลังหยุดใช้ยา
  2. ผลข้างเคียงต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด:
    • มีบางรายงานที่ชี้ให้เห็นว่าการใช้ Ligandrol อาจทำให้ระดับไขมันในเลือดเปลี่ยนแปลง ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด
  3. การใช้ในทางที่ผิด:
    • เนื่องจาก Ligandrol ไม่ได้รับการอนุมัติจาก FDA สำหรับการใช้ทางการแพทย์ การใช้งานในวงการฟิตเนสและนักเพาะกายถือเป็นการใช้ในทางที่ผิด ซึ่งอาจส่งผลต่อสุขภาพและเป็นการกระทำที่ขัดต่อกฎหมายในบางประเทศ
  4. การตรวจสารต้องห้ามในการแข่งขันกีฬา:
    • Ligandrol ถูกจัดเป็นสารต้องห้ามในกีฬาอาชีพ และการตรวจพบสารนี้ในนักกีฬาจะส่งผลให้ถูกตัดสิทธิ์จากการแข่งขัน

สรุป

  • ความเป็นมา: Ligandrol (LGD-4033) พัฒนาโดย Ligand Pharmaceuticals เพื่อรักษาภาวะสูญเสียกล้ามเนื้อ แต่ไม่ได้รับการอนุมัติจาก FDA
  • ลักษณะทางเคมี: มีสูตรโมเลกุล C14H12F6N2O และเป็น Selective Androgen Receptor Modulator (SARM)
  • Half-life: ประมาณ 24-36 ชั่วโมง
  • Detection Time: สามารถตรวจพบในระบบได้นานถึง 21 วัน
  • กลไกการทำงาน: จับกับตัวรับแอนโดรเจนในเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อและกระดูกเพื่อเพิ่มมวลกล้ามเนื้อและป้องกันการสูญเสียกล้ามเนื้อ
  • การใช้งานในคนทั่วไป: การรักษาภาวะสูญเสียกล้ามเนื้อและการเพิ่มความแข็งแรงของกระดูก
  • การใช้งานในนักเพาะกาย: การเพิ่มมวลกล้ามเนื้อและความแข็งแรง การรักษาระหว่างการตัดน้ำหนัก
  • ข้อควรระวัง: ผลกระทบต่อระบบฮอร์โมน, ผลข้างเคียงต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด, การใช้ในทางที่ผิด, และการตรวจสารต้องห้ามในการแข่งขันกีฬา

Ostarine หรือ MK-2866

Ostarine หรือที่รู้จักในชื่อรหัส MK-2866 เป็น Selective Androgen Receptor Modulator (SARM) ซึ่งพัฒนาโดยบริษัท GTx Inc. โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ในการรักษาโรคต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการสูญเสียกล้ามเนื้อ เช่น sarcopenia (การสูญเสียมวลกล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้องกับอายุ) cachexia (การสูญเสียมวลกล้ามเนื้อในผู้ป่วยมะเร็ง) และการเสื่อมสภาพของกล้ามเนื้อ (muscle wasting) การวิจัยและพัฒนา Ostarine เริ่มต้นในช่วงต้นทศวรรษ 2000 และแม้จะไม่ได้รับการอนุมัติจากองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA) สำหรับการใช้ทางการแพทย์ Ostarine กลับได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางในวงการฟิตเนสและนักเพาะกาย เนื่องจากมีคุณสมบัติที่คล้ายกับสเตียรอยด์แอนโดรเจนแต่มีผลข้างเคียงน้อยกว่า

ลักษณะทางเคมีของ Ostarine

  • ชื่อทางเคมี: (2S)-3-(4-cyanophenoxy)-N-[(1S)-1-methyl-2-oxo-2,3-dihydro-1H-pyrrolo[3,4-b]quinolin-1-yl]-2-hydroxy-2-methylpropanamide
  • สูตรโมเลกุล: C19H14F3N3O3
  • น้ำหนักโมเลกุล: 389.33 g/mol
  • โครงสร้างเคมี: Ostarine เป็นสารประกอบที่มีโครงสร้างโมเลกุลซับซ้อน ซึ่งประกอบด้วยวงแหวนไพโรลิดีนและควิโนลีน ที่มีพันธะ cyanophenoxy เชื่อมต่อกับกลุ่มฟังก์ชันอื่นๆ ซึ่งช่วยให้สามารถจับกับตัวรับแอนโดรเจนได้อย่างจำเพาะเจาะจง

ข้อมูลสำคัญของ Ostarine (MK-2866)

  1. Half-life:
    • Ostarine มีครึ่งชีวิตประมาณ 24 ชั่วโมง ซึ่งหมายความว่าสามารถรับประทานได้เพียงวันละครั้ง
  2. Detection Time:
    • การตรวจพบ Ostarine ขึ้นอยู่กับวิธีการตรวจและปริมาณการใช้ โดยทั่วไปสามารถตรวจพบในปัสสาวะได้ถึง 2-3 สัปดาห์หลังจากการใช้ครั้งสุดท้าย

กลไกการทำงานของ Ostarine

Ostarine ทำงานโดยการจับตัวกับตัวรับแอนโดรเจนในเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อและกระดูกอย่างจำเพาะเจาะจง โดยไม่ส่งผลต่อเนื้อเยื่ออื่นๆ อย่างที่สเตียรอยด์แอนโดรเจนทำ กลไกการทำงานของ Ostarine รวมถึง:

  1. การกระตุ้นการสร้างกล้ามเนื้อ:
    • Ostarine ช่วยกระตุ้นการสังเคราะห์โปรตีนในกล้ามเนื้อ ซึ่งส่งผลให้เกิดการเพิ่มขึ้นของมวลกล้ามเนื้อและความแข็งแรง โดยไม่ทำให้เกิดการเพิ่มขึ้นของฮอร์โมนเอสโตรเจนหรือฮอร์โมนเพศหญิงในร่างกาย
  2. การป้องกันการสูญเสียกล้ามเนื้อ:
    • Ostarine มีความสามารถในการป้องกันการสูญเสียมวลกล้ามเนื้อในภาวะที่มวลกล้ามเนื้อลดลง เช่น ภาวะที่เกิดจากการเจ็บป่วยหรือการบาดเจ็บ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้ Ostarine น่าสนใจในการใช้รักษาโรคที่เกี่ยวข้องกับการสูญเสียกล้ามเนื้อ
  3. การเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูก:
    • Ostarine ยังสามารถกระตุ้นการเพิ่มความหนาแน่นของกระดูกและป้องกันการสูญเสียกระดูก ซึ่งเป็นประโยชน์ในผู้ที่มีความเสี่ยงต่อภาวะกระดูกพรุน

การใช้งานในคนทั่วไปและนักเพาะกาย

การใช้งานในคนทั่วไป

  • การรักษาภาวะสูญเสียกล้ามเนื้อ: Ostarine ได้รับการพัฒนาเพื่อรักษาภาวะสูญเสียกล้ามเนื้อในผู้ป่วยที่มีภาวะทางการแพทย์ เช่น sarcopenia, cachexia และการเสื่อมสภาพของกล้ามเนื้อ
  • การเพิ่มความแข็งแรงของกระดูก: แม้จะยังไม่มีการอนุมัติอย่างเป็นทางการ แต่ Ostarine อาจถูกใช้เพื่อป้องกันภาวะกระดูกพรุนในผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีความเสี่ยงสูง

การใช้งานในนักเพาะกาย

  • การเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ: นักเพาะกายมักใช้ Ostarine เพื่อเพิ่มมวลกล้ามเนื้อและความแข็งแรง โดยเชื่อว่ามันสามารถให้ผลลัพธ์ที่คล้ายกับการใช้สเตียรอยด์แต่มีผลข้างเคียงน้อยกว่า
  • การรักษาระหว่างการตัดน้ำหนัก: Ostarine มักใช้ในช่วงที่นักเพาะกายต้องการลดน้ำหนักหรือไขมันในร่างกาย แต่ยังคงรักษามวลกล้ามเนื้อและความแข็งแรงเอาไว้

ข้อควรระวัง

  1. ผลกระทบต่อระบบฮอร์โมน:
    • แม้ Ostarine จะมีผลกระทบต่อระบบฮอร์โมนน้อยกว่าสเตียรอยด์ แต่การใช้ในระยะยาวหรือในปริมาณสูงอาจทำให้ระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนลดลง ซึ่งอาจต้องการการฟื้นฟูระบบฮอร์โมนหลังจากหยุดใช้ยา (Post Cycle Therapy – PCT)
  2. ผลข้างเคียงต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด:
    • มีรายงานบางกรณีที่การใช้ Ostarine อาจทำให้ระดับไขมันในเลือดเปลี่ยนแปลง ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด
  3. การใช้ในทางที่ผิด:
    • เนื่องจาก Ostarine ไม่ได้รับการอนุมัติจาก FDA สำหรับการใช้ทางการแพทย์ การใช้งานในวงการฟิตเนสและนักเพาะกายถือเป็นการใช้ในทางที่ผิด ซึ่งอาจมีความเสี่ยงทั้งต่อสุขภาพและกฎหมาย
  4. การตรวจสารต้องห้ามในการแข่งขันกีฬา:
    • Ostarine ถูกจัดเป็นสารต้องห้ามในกีฬาอาชีพ และการตรวจพบในนักกีฬาจะส่งผลให้ถูกตัดสิทธิ์จากการแข่งขัน

สรุป

  • ความเป็นมา: Ostarine (MK-2866) พัฒนาโดย GTx Inc. เพื่อใช้ในการรักษาภาวะสูญเสียกล้ามเนื้อ แต่ไม่ได้รับการอนุมัติจาก FDA
  • ลักษณะทางเคมี: มีสูตรโมเลกุล C19H14F3N3O3 และเป็น Selective Androgen Receptor Modulator (SARM)
  • Half-life: ประมาณ 24 ชั่วโมง
  • Detection Time: สามารถตรวจพบในระบบได้นานถึง 2-3 สัปดาห์
  • กลไกการทำงาน: จับกับตัวรับแอนโดรเจนในเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อและกระดูกเพื่อกระตุ้นการสร้างกล้ามเนื้อและป้องกันการสูญเสียกล้ามเนื้อ
  • การใช้งานในคนทั่วไป: การรักษาภาวะสูญเสียกล้ามเนื้อและการเพิ่มความแข็งแรงของกระดูก
  • การใช้งานในนักเพาะกาย: การเพิ่มมวลกล้ามเนื้อและการรักษาระหว่างการตัดน้ำหนัก
  • ข้อควรระวัง: ผลกระทบต่อระบบฮอร์โมน, ผลข้างเคียงต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด, การใช้ในทางที่ผิด, และการตรวจสารต้องห้ามในการแข่งขันกีฬา